Thursday, July 19, 2012

สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบโลก

ภาวะตลาดหุ้นประจำวันที่ 19 ก.ค. 

ดัชนี-ตลาด ปิดที่ระดับ เปลี่ยนแปลง 

ดาวโจนส์-ตลาดหุ้นนิวยอร์ค 12,943.36 + 34.66 
FTSE-ตลาดหุ้นลอนดอน 5,714.19 + 28.42 
DAX-ตลาดหุ้นเยอรมนี 6,758.39 + 73.97 
CAC-40-ตลาดหุ้นฝรั่งเศส 3,263.64 + 28.24 
คอมโพสิต-ตลาดหุ้นมะนิลา 5,189.37 - 31.18 
เวทเต็ด-ตลาดหุ้นไต้หวัน 7,148.57 + 99.52 
S&P/ASX-ตลาดหุ้นออสเตรเลีย 4,206.70 + 83.10 
นิกเกอิ-ตลาดหุ้นโตเกียว 8,795.55 + 68.81 
คอมโพสิต-ตลาดหุ้นโซล 1,822.96 + 28.05 
ฮั่งเส็ง-ตลาดหุ้นฮ่องกง 19,559.05 + 319.17 
คอมโพสิต-ตลาดหุ้นมาเลเซีย 1,644.60 - 0.40 
FTSE STI-ตลาดหุ้นสิงคโปร์ 3,028.96 + 11.75 
คอมโพสิต-ตลาดหุ้นจาการ์ตา 4,096.19 + 14.56 
SET-ตลาดหุ้นไทย 1,212.96 - 7.18 
SET-50-ตลาดหุ้นไทย 840.77 - 6.03 
SET-100-ตลาดหุ้นไทย 1,828.90 - 12.63 

ราคาพันธบัตรปิดลดลง -- ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวปิดลดลงในวันพฤหัสบดี 
ขณะที่นักลงทุนไม่ต้องการเข้าลงทุนล็อตใหญ่เนื่องจากอัตราผลตอบแทนลดลงอีก หลังจากการพุ่งขึ้น 
อย่างมากในเดือนนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรร่วง 
แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีปิดลดลง 05/32 สู่ระดับ 102-06/32 
โดยมีผลตอบแทน 1.511% และราคาพันธบัตรอายุ 30 ปีปิดลดลง 12/32 สู่ระดับ 107-31/32 โดย 
มีผลตอบแทน 2.614% 

ยูโรร่วงจากวิตกปัญหาธนาคารสเปน,ข้อมูลศก.สหรัฐอ่อนแอ -- ยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับ 
ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีและแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลียและระดับ 
ต่ำสุดในรอบ 3 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับปอนด์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐและการเตือนครั้ง 
ใหม่ของเยอรมนีเกี่ยวกับปัญหาด้านการธนาคารของสเปนได้ลดความต้องการเสี่ยง ทั้งนี้ ดอลลาร์อยู่ที่ 
78.580 เยน เทียบกับระดับปิดตลาดวันพุธที่ 78.780 เยน ส่วนยูโรอยู่ที่ 1.2269 ดอลลาร์และ 
96.400 เยน เทียบกับระดับปิดตลาดวันพุธที่ 1.2283 ดอลลาร์และ 96.770 เยน 

ปัญหาตอ.กลางหนุนน้ำมันดิบปิดพุ่งขึ้น 3.1% -- ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX 
ปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.1% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน หลัง 
จากราคาน้ำมันขึ้นไปแตะจุดสูงสุดรอบ 8 สัปดาห์ในระหว่างวัน ในขณะที่เหตุการณ์ตึงเครียดในตะวัน 
ออกกลาง กระตุ้นให้เกิดความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคเอกชน 
ช่วยหนุนให้นักลงทุนคาดการณ์ในทางบวก ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนส.ค.ทะยานขึ้น 2.79 ดอล 
ลาร์ หรือ 3.1% มาปิดตลาดที่ 92.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

ทองปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน,ปัจจัยเทคนิค -- ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 9.12 
ดอลลาร์ หรือ 0.6% สู่ 1,581.41 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันพฤหัสบดี หลังจากปิดตลาด 
ในแดนลบนานติดต่อกัน 2 วัน โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของดอลลาร์ และจากการ 
ทะยานขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ได้รับแรงหนุนจากเหตุตึงเครียดในตะวัน 
ออกกลาง ทั้งนี้ ราคาทองส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด COMEX ปิดบวก 9.60 ดอลลาร์ ที่ 1,580.40 
ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ปิดบวก 12.20 เซนต์ ที่ 27.217 ดอลลาร์/ 
ออนซ์ ส่วนที่ตลาด NYMEX ราคาพลาตินั่มส่งมอบเดือนต.ค.ปิดพุ่งขึ้น 18.90 ดอลลาร์ ที่ 1,423.10 
ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ปิดเพิ่มขึ้น 7.30 ดอลลาร์ ที่ 584.85 ดอล 
ลาร์/ออนซ์




SET:ปัจจัยจับตาการลงทุนวันนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ-ราคาน้ำมันดิบปิดบวก 


ต่างประเทศ 

*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปิดบวกในวันพฤหัสบดีเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนี S&P 500 
อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง โดยผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยี และ 
การคาดการณ์เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยบดบังข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ 
*ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปิดเมื่อวานนี้ ปรับขึ้นลงแตกต่างกัน โดยตลาดหุ้น 
สิงคโปร์ดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี ได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการ 
ที่แข็งแกร่งของบริษัทสหรัฐ ขณะที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย อ่อนตัวลง ส่วนอินโดนีเซีย 
และเวียดนาม ปิดในแดนบวก 
*ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนส.ค. ปิดเมื่อวานนี้ เพิ่มขึ้น 
2.79 ดอลลาร์ หรือ 3.1% มาปิดตลาดที่ 92.66 ดอลลาร์/บาร์เรล นับเป็นการปิด 
ตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน หลังราคาน้ำมันขึ้นไปแตะจุดสูงสุดรอบ 8 
สัปดาห์ในระหว่างวัน ขณะที่เหตุการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางกระตุ้นให้เกิดความ 
กังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคเอกชน ช่วยหนุนให้ 
นักลงทุนคาดการณ์ในทางบวก 
*ดัชนีค่าระวางเรือ(Baltic Dry Index) ปิดเมื่อวานนี้ ลบ 21 จุด หรือ 1.96% 
มาที่ 1053 ขณะที่ระดับสูงสุดของปีนี้อยู่ที่ 1624 และระดับต่ำสุดของปีนี้อยู่ที่ 647 
*กระทรวงการคลังสเปน สามารถจำหน่ายพันธบัตรอายุ 2 ปี, 5 ปี และ 7 ปี ใน 
การประมูลวานนี้ คิดเป็นมูลค่า 2.98 พันล้านยูโร ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดของช่วง 
เป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่ต้องจ่ายอัตราผลตอบแทนที่มากกว่าการประมูลในครั้งที่แล้ว 
*กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านพุ่งขึ้น 6.9% สู่ 7.6 
แสนยูนิตต่อปีในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หรือสูงสุดนับ 
ตั้งแต่เดือนต.ค.2008 และปัจจัยนี้น่าจะช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากแสดง 
สัญญาณชะลอตัวลงในระยะนี้ 
*บริษัทแฟรงคลิน เทมเพิลตัน ได้ประกาศเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และ 
อินโดนีเซีย โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคภายในประเทศจะยังคงเพิ่มขึ้น และตลาด 
หุ้นไทยและอินโดนีเซีย จะมีการปรับตัวที่ดีมากในช่วง 5 ปีข้างหน้า 
*สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานยอดขายบ้านมือสอง ร่วงลง 5.4% สู่ 
4.37 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย. จาก 4.62 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ 
ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ที่ 4.63 ล้านยูนิต 
*Conference Board เปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐลดลงเกินคาด 0.3% สู่ 95.6 
ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. และแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ 
ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ว่า จะลดลงเพียง 0.1% ในเดือนมิ.ย. 
*กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ครั้งแรกเพิ่มขึ้น 
34,000 ราย สู่ 386,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ค. จาก 352,000 ราย 
ในสัปดาห์ก่อนหน้า ด้านนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ว่า 
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะอยู่ที่ 365,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา 

เศรษฐกิจทั่วไป 


*ส.อ.ท.เผยยอดผลิตรถยนต์เดือนมิ.ย.เติบโต 33.81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 
มาที่ระดับ 2.06 แสนคัน นับเป็นสถิติสูงสุดรอบ 50 ปี ขณะที่การส่งออกรถยนต์ 
สำเร็จรูปในเดือนเดียวกันนี้ เพิ่มขึ้น 25.22% 
*ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ 102.7 จาก 106.0 
ในเดือนพ.ค.โดยเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน แต่ดัชนียังปรับขึ้นเกิน 
100 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการประกอบการในระดับที่ดี 
*เอกชนจี้รัฐบาลช่วยเหลือส่งออก เผยวิกฤติยูโร-น้ำท่วม โรงงาน 6% ปิดตัว ด้าน 
ธุรกิจส่งออกไม้ยางพาราทรุดหนัก คาดยอดขายลด 50% เครื่องนุ่งห่มยอดขายลด 52% 
ระบุเป้าส่งออกของรัฐบาล 15% เป็นไปได้ยาก ขณะที่เอกชนร่าง 11 ข้อผ่านสภา 
ที่ปรึกษาฯ เสนอ ครม.แก้ปัญหา(นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) 
*ไอเอ็มเอฟประเมินสถานการณ์กลุ่มยูโร ล่าสุดอันตรายเข้าขั้นวิกฤติ แต่ยังฟื้นฟูความ 
เชื่อมั่นได้ หากเร่งเดินหน้าตั้งสหภาพธนาคารขึ้นมาเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือ ด้าน 
โพลล์นักเศรษฐศาสตร์มองเอเชียแย่ลง คาดฟื้นปลายปี ขณะที่เบอร์นันเก้ แสดงความ 
วิตกมาตรการขึ้นภาษีและลดค่าใช้จ่ายภาครัฐที่จะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า อาจทำให้ 
เศรษฐกิจปี 2556 ตกอยู่ในภาวะถดถอย (นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) 
*ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การจัดแนวทางการตรวจสอบธุรกิจของคนต่างด้าว 
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เป็นการป้องกัน 
ต่างชาติ ซึ่งเป็นประเทศที่สามที่ไม่ใช่ประเทศสมาชิกอาเซียนมาลงทุนตั้งบริษัทในอาเซียน 
เพื่อใช้สิทธิประโยชน์การเปิดเสรีบริการในอาเซียนมาลงทุนธุรกิจในไทย และกอบโกย 
ผลประโยชน์จากไทยออกนอกประเทศ (นสพ.โพสต์ทูเดย์) 
*รมช.คลัง กล่าวว่ากระทรวงการคลัง ไม่มีนโยบายเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม 
เพิ่ม ที่มีเพดานให้เก็บถึง 50% เพราะเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และ 
ยังต้องดูรายละเอียดกันอีกมาก (นสพ.โพสต์ทูเดย์) 
*อธิบดีกรมสรรพสามิต เตรียมเสนอรมว.คลังและนายกรัฐมนตรี เก็บภาษีธุรกิจโทรคมนาคม 
โดยเบื้องต้นน่าจะอยู่ที่ในอัตรา 3% ขณะที่ราคาหุ้นมือถือรายใหญ่ "ADVANC-DTAC" 
ยังร่วงหนักกว่า 3% ขณะที่คลังไฟเขียว เว้นกำไรภาษีซื้อขายหุ้นผ่านกระดาน 
อาเซียนลิงค์ หวังส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น (นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) 
*รมช.คลัง ระบุว่าวันที่ 24 ก.ค.จะเสนอครม.ให้พิจารณาขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต 
น้ำมันดีเซลจาก 5.31 บาทต่อลิตร เหลือ 0.005 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 เดือนจาก 
ที่สิ้นสุด 31 ก.ค.นี้ และจะเสนอขยายเวลารถคันแรกให้ครม.เห็นชอบด้วย (นสพ.ข่าวสด) 

การเมือง 
*กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจดัชนีความเสี่ยงของคนกรุงเทพฯในรอบ 1 ปี รัฐบาล 
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เฉลี่ยอยู่ที่ 5.89 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ลดลงจาก 
5.91 คะแนน ในเดือนก.พ.55 โดยคนกรุงเทพฯรู้สึกเสี่ยงด้านการเมืองมากสุด 6.83 
คะแนน, ด้านค่าครองชีพ 6.63 คะแนน และ ด้านชีวิตและทรัพย์สิน 6.32 คะแนน 
*สาธารณสุขเร่งควบคุม"มือ เท้า ปาก" ตั้งเป้าตายเป็นศูนย์ ป่วยไม่เกิน 1.8 หมื่น 
ราย ด้านกรมควบคุมโรคเรียกประชุมด่วน ทบทวนมาตรการรับมือ สพฐ.รับแจ้งโรงเรียน 
ปิดแล้ว 14 แห่ง(นสพ.มติชน) 
*ทีมยุทธศาสตร์"เพื่อไทย" ถกปมทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญวันนี้ เชื่อทำประชามติให้ 
ผ่านไม่ง่าย เตรียมเสนอแก้มาตรา 68 และ 165 ก่อน "ภูมิธรรม" ค้านทำประชามติ 
ก่อนแก้ "พงศ์เทพ" หนุนโหวตวาระ 3 อ้างพวกจ้องหาเรื่องคอยหาทางสกัดทุกวิธีอยู่แล้ว 
ขณะที่ "อภิสิทธิ์" ขวางแก้มาตรา 309 ล้างผิดให้ "ทักษิณ"(นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)




SET:คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้น หลังปรับฐานวานนี้, มองหุ้นพลังงาน-ปิโตรฯนำตลาด 


*นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับขึ้น หลังจากวานนี้ 
มีการปรับฐานระยะสั้นไปแล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อคืนนี้ 
ปรับขึ้นด้วย ซึ่งจะหนุนให้มีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี 
*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปิดบวกในวันพฤหัสบดีเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนี 
S&P 500 อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง โดยผลประกอบการจาก 
บริษัทเทคโนโลยี และการคาดการณ์เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 
ช่วยบดบังข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ 
*ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนส.ค. ปิดเมื่อวานนี้ 
เพิ่มขึ้น 2.79 ดอลลาร์ หรือ 3.1% มาปิดตลาดที่ 92.66 ดอลลาร์/บาร์เรล 
นับเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน หลังราคาน้ำมันขึ้นไป 
แตะจุดสูงสุดรอบ 8 สัปดาห์ในระหว่างวัน ขณะที่เหตุการณ์ตึงเครียดในตะวันออก 
กลางกระตุ้นให้เกิดความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน และผลประกอบการที่แข็งแกร่ง 
ของภาคเอกชน ช่วยหนุนให้นักลงทุนคาดการณ์ในทางบวก 
*วันพฤหัสบดีต่างชาติ ขายสุทธิ 45.31 ลบ.จากวันพุธ ขายสุทธิ 437.91 ลบ. 
*เช้านี้บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 31.67/71 จากเมื่อวันพฤหัสบดี อยู่ที่ 31.52/66 
*นักวิเคราะห์มองแนวรับที่ 1,210 ส่วนแนวต้านที่ 1,220 และ 1,225 จุด 

"ตลาดวันนี้ คิดว่าปรับตัวขึ้นได้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ มีการปรับฐานระยะสั้นไปแล้ว 
ซึ่งก็เป็นการดี เพราะจะทำให้ตลาดปรับขึ้นได้อย่างมั่นคง" นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหาร 
สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าว 
เขา กล่าวว่า แรงหนุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ มาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับ 
ขึ้น ซึ่งจะทำให้มีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี และน่าจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวม 
ปรับขึ้นได้ 
โดยหากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นเหนือระดับ 1,220 จุดได้ ก็น่าจะขึ้นไปทดสอบ 1,225 
แต่มองว่ากรอบการปรับขึ้นในวันนี้ น่าจะไม่เกิน 1,225 จุด 
นายปริญทร์ กล่าวถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ว่า หลายวันที่ผ่านมา ถูกกดดันจากความ 
กังวลเรื่องอาจถูกเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งเชื่อว่าแรงกดดันจากเรื่องดังกล่าว จะยังมีอยู่ จึง 
ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน ส่วนกลุ่มธนาคาร เป็นแรงขายจาก sell on fact หลังบางแห่ง 
ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/55 แล้ว ดังนั้นหากปรับลง ก็น่าจะทยอยซื้อได้ 


ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ 
*ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันพฤหัสบดี ปิดลบ 7.18 จุด หรือ 0.59% มาที่ 1,212.96 
ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 36,615.34 ล้านบาท 
*ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เมื่อวันพฤหัสบดีปิดบวก 34.66 จุด หรือ 0.27% มาที่ 
12,943.36 และดัชนีแนสแดค ปิดบวก 23.30 จุด หรือ 0.79% มาที่ 2,965.90 
*ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้ ส่วนใหญ่บวก โดยตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลบ 0.48%, เกาหลีใต้ 
บวก 0.31%, ไต้หวัน บวก 0.15%, ฮ่องกง บวก 0.32% และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลบ 
0.23% 

จับตาหุ้น 

*KTB Q2/55 กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 7.34 พันล้านบาท 
*KBANK มั่นใจกำไร H2/55 โตต่อเนื่องตามสินเชื่อขยายตัว, NIM ปีนี้ 3.5% 
*CNS ตั้งเป้า H2/55 นำหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ mai 1 ราย 
*RML คาดยอดโอนใน Q2/55 ราว 800 ลบ.-1 พันลบ., เป้าทั้งปี 7-8 พันลบ. 
*TMB Q2/55 กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 1.26 พันล้านบาท 
*SCC จะเสนอบอร์ดในส.ค. พิจารณาแผนลงทุน 5 ปี(ปี 56-60)ราว 2 แสนลบ.

No comments:

Post a Comment