วันนี้ 3 บิ๊กหุ้นเหล็ก วิ่งถ้วนหน้า! SSI เริ่มเด้ง ครึ่งปีหลังเห็นกำไร
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2556 เวลา 15:51:42 น. 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEL ล่าสุด ณ เวลา 15.05 น. อยู่ที่ 0.38 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 2.7% มูลค่าการซื้อขาย 74.81 ล้านบาท บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH อยู่ที่ 1.20 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 4.35% มูลค่าการซื้อขาย 418.15 ล้านบาท บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI อยู่ที่ 0.65 บาท บวก 0.03 บาท หรือ 4.84% มูลค่าการซื้อขาย 387.25 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้น TSTH ดีดตัวแรงจากระดับราคา 1.04 บาท เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้แตะระดับสูงสุดที่ 1.30 บาท สัญญาณทางเทคนิคเริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป (RSI =70.61) ขณะที่ SSI แกว่งตัวขึ้นจากระดับราคา 0.60 บาท เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา และแกว่งตัวขึ้นแตะระดับราคาสูงสุดที่ 0.67 บาทในวันนี้ สัญญาณทางเทคนิคฟื้นตัว (RSI=58.17) ด้าน GSTEL แกว่งตัวในกรอบ 0.37-0.39 บาทมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” SSI อีก 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 0.71 บาท

นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการงวด 1 ปี สิ้นสุด มี.ค.56 จะยังขาดทุนสุทธิ หลังเผชิญปัญหาการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน ขณะที่มองความต้องการใช้เหล็กในประเทศปีนี้จะเติบโต 5% และน่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีด้วย โดย TSTH แจ้งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนสิ้นสุด 31 ธ.ค.55 ขาดทุนสุทธิ 989.27 ล้านบาท

ส่วนงวดปี 2556/2557 ผลประกอบการจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะออกมาตรการแก้ปัญหาการทุ่มตลาดจากจีนได้หรือไม่ หากรัฐบาลช่วยเหลือก็น่าจะพลิกเป็นกำไรได้ เพราะปัจจุบันบริษัทมี EBITDA เป็นบวกแล้ว ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้นทาทากรุ๊ปในอินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้เข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศพม่าแล้ว เนื่องจากสนใจการลงทุนในธุรกิจพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อุตสาหกรรมยานยนต์ และโรงงานผลิตเหล็ก เบื้องต้นอาจให้ความสำคัญกับธุรกิจพลังงานและโรงแรมเป็นอันดับ

บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ถือ” SSI โดยระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ว่า ราคา HRC ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปลายปี 2555 ประกอบกับการพร้อมใช้งานของโครงการ PCI ในช่วง 3Q56 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต Slab ได้ถึง 38 เหรียญฯ/ตัน จะทำให้ SSI สามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งในช่วง 2H56 ฝ่ายวิจัยคาดว่าปริมาณการขายของ SSI ในปี 2556 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านตัน โดยถึงแม้ว่าคู่แข่ง Gsteel กับ GJS จะกลับมาผลิตอีกครั้งในปีนี้ แต่จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจาก SSI จะได้ส่วนแบ่งการตลาดคืนมาจากเหล็กรีดร้อนนำเข้าเจืออัลลอยด์ ซึ่งภาครัฐพึ่งได้มีการออกมาตรการ Safeguard ชั่วคราว เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 56 เรียกเก็บภาษี 33.11% สำหรับการนำเข้าเหล็กรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน ส่วน SSI UK คาดว่าจะสามารถผลิต Slab ได้ถึง 3.2 ล้านตันในปี 2556 อย่างไรก็ตามปัญหาสภาพคล่องของ SSI ยังน่าเป็นห่วง ซึ่งทาง SSI ได้มีการเจรจากับทางธนาคารเพื่อเปลี่ยนหนี้สินระยะสั้นให้เป็นหนี้สินระยะยาว 3 ปี โดยน่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1Q56 หากสำเร็จจะทำให้สภาพคล่องของSSI ดีขึ้น แต่จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ในระยะสั้น SSI ยังคงได้รับแรงกดดันจากผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ในปี 2555 แต่เชื่อว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นจากราคาเหล็กและอุตสาหกรรมเหล็กที่มีทิศทางที่ดีขึ้นฝ่ายวิจัยประเมิน Fair Value ที่ 0.68 บาท โดยอิง PBV 1.31 เท่า (ค่าเฉลี่ย PBV +2SD) อย่างไรก็ตาม SSI น่าจะยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนไปอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า จึงยังคงแนะนำเพียง ถือ

นอกจากนี้ บล.เอเซีย พลัส ยังระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า การฟื้นตัวของการก่อสร้างทั้งในภาครัฐและเอกชน จะส่งผลบวกต่อปริมาณความต้องการใช้เหล็กเส้นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การแข่งขันจากเหล็กลวดนำเข้าราคาถูกจากจีน เชื่อว่าจะได้รับการแก้ไข หลัง TSTH ยื่นเรื่องต่อกรมการค้าต่างประเทศ ให้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กของจีน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า TSTH ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องประสบปัญหาขาดทุนสุทธิต่อเนื่องไปอีกหลายไตรมาส เนื่องจากในปัจจุบันภาครัฐยังไม่ได้มีการออกมาตรการช่วยเหลือชั่วคราวใดๆออกมา รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายจากเตาถลุงเหล็ก Mini Blast Furnace ที่ TSTH ต้องแบกรับประมาณ 43 ล้านบาท/เดือน จากการหยุดผลิตไปตั้งแต่เดือน ส.ค. 54

ทั้งนี้ การปรับลดประมาณการ gross margin ปี 2556/57 ลง ซึ่งทำให้ TSTH ยังคงมีผลขาดทุนต่อเนื่องอีก 32 ล้านบาท ในปี 2556/57 สำหรับ Fair Value ประเมินโดยอิงที่ PBV 0.55 เท่า จะให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 0.81 บาท ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน คงคำแนะนำ ขาย

ที่มา ข่าวหุ้น